GPS กับระบบ DLT: รถแบบไหนต้องติดตามกฎหมาย?
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในการจัดการข้อมูลและความปลอดภัยบนท้องถนน รัฐบาลไทยโดยเฉพาะกรมการขนส่งทางบกได้มีการกำหนดมาตรการควบคุมยานพาหนะบางประเภทด้วยระบบติดตามผ่าน GPS โดยต้องเชื่อมต่อกับระบบ DLT หรือ DLT GPS ซึ่งย่อมาจาก Department of Land Transport GPS ระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เจ้าของรถทราบตำแหน่งของรถตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ภาครัฐใช้ในการควบคุม ดูแล และตรวจสอบการดำเนินงานของรถที่มีความเสี่ยงต่อสาธารณะในระดับสูง
ระบบ DLT GPS มีจุดประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ลดอุบัติเหตุ ควบคุมพฤติกรรมผู้ขับขี่ และใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการด้านการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบนี้จะทำการเก็บข้อมูลจาก GPS Tracker ของรถแต่ละคัน แล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์กลางของกรมการขนส่งทางบกแบบอัตโนมัติและต่อเนื่อง ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บรวมถึงตำแหน่งปัจจุบัน เส้นทาง ความเร็ว ชั่วโมงการขับขี่ และพฤติกรรมการใช้งาน เช่น การหยุดรถกะทันหัน การขับเร็วเกินกำหนด หรือการใช้รถนอกเวลาที่กำหนด
สำหรับรถที่เข้าข่ายต้องติดตั้ง GPS Tracker เชื่อมต่อกับระบบ DLT ตามกฎหมายไทย ได้แก่ รถที่มีความเกี่ยวข้องกับการขนส่งเชิงพาณิชย์ และรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งถูกจัดประเภทไว้ชัดเจนในประกาศของกรมการขนส่งทางบก ตัวอย่างของรถกลุ่มนี้ ได้แก่ รถโดยสารประจำทางและไม่ประจำทาง รถสองแถว รถตู้โดยสาร รถบรรทุกสินค้าขนาดตั้งแต่สิบล้อขึ้นไป รถพ่วง และรถลากจูงบางประเภท โดยเฉพาะรถที่มีการจดทะเบียนในเชิงพาณิชย์ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้โดยสารหรือบุคคลทั่วไป
นอกจากนี้ รถโรงเรียน รถนักเรียน หรือรถรับส่งพนักงาน ที่มีการให้บริการในลักษณะสาธารณะก็อยู่ในกลุ่มที่จำเป็นต้องติดตั้ง GPS Tracker และเชื่อมต่อกับระบบ DLT ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการให้บริการแก่กลุ่มประชาชนที่เปราะบาง โดยเฉพาะเด็กนักเรียนหรือพนักงานจำนวนมาก การติดตั้ง GPS ที่สามารถติดตามและควบคุมการขับขี่แบบเรียลไทม์จึงถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยงและป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์
ระบบ DLT GPS ยังมีการกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ ตัว GPS Tracker ต้องผ่านการรับรองจากกรมการขนส่งทางบกว่ารองรับการทำงานตามที่กฎหมายกำหนด มีความสามารถในการส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่อง และสามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของกรมได้โดยไม่มีปัญหา พร้อมกับการใช้ซิมการ์ดแบบ M2M ที่สามารถส่งข้อมูลแม้ในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงมีระบบเก็บข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อยเก้าสิบวัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างละเอียด
เมื่อระบบถูกเชื่อมต่อกับ DLT แล้ว เจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งสามารถตรวจสอบข้อมูลการขับขี่ของรถทุกคันที่อยู่ในระบบได้แบบเรียลไทม์ หากมีการฝ่าฝืน เช่น ขับรถเกินความเร็ว ขับรถต่อเนื่องเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือใช้รถผิดวัตถุประสงค์ ก็สามารถถูกเรียกตรวจสอบหรือมีบทลงโทษตามกฎหมายได้ทันที จึงกล่าวได้ว่า ระบบ DLT GPS เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างวินัยจราจรในเชิงระบบ
สำหรับเจ้าของรถหรือผู้ประกอบการที่มีรถอยู่ในกลุ่มที่ต้องติดตั้ง DLT GPS ควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่ารถของตนเข้าข่ายหรือไม่ หากเข้าข่ายต้องดำเนินการติดตั้งให้ถูกต้องตามขั้นตอน โดยเลือกใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการรับรอง และให้ผู้ติดตั้งที่ได้รับอนุญาตดำเนินการเท่านั้น เพราะหากฝ่าฝืนหรือหลีกเลี่ยง อาจถูกลงโทษทั้งทางปกครองและทางอาญา อีกทั้งยังมีผลต่อการต่อทะเบียนรถและความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าหรือคู่ค้าทางธุรกิจ
ในภาพรวม ระบบ GPS ที่เชื่อมโยงกับ DLT ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือควบคุมจากรัฐ แต่ยังเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการโดยตรง เพราะสามารถใช้ในการบริหารจัดการรถ บันทึกชั่วโมงการทำงาน ลดต้นทุน เพิ่มความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า การยอมรับและใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้องจึงไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นการวางรากฐานที่ดีให้กับธุรกิจและสังคมโดยรวมในระยะยาว
สนใจติดตั้ง GPS หรือสอบถามเพิ่มเติม
080-295-6052 (พี่บอย)
080-295-1830 (พี่ปูเป้)
LINE: @gpsthaicar
Email: gpsthaicar@gmail.com