80 จำนวนผู้เข้าชม |
Pepsi Number Fever: จากกลยุทธ์สู่ความวุ่นวาย
ในช่วงต้นยุค 90s ตลาดน้ำอัดลมในฟิลิปปินส์ถูกครองโดย Coca-Cola ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 75% ขณะที่ Pepsi ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในการแข่งขัน ด้วยเหตุนี้ Pepsi จึงตัดสินใจใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูดใจอย่างมหาศาล – แคมเปญ “Number Fever” กติกานั้นเรียบง่าย ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบหมายเลขที่อยู่ใต้ฝาขวดน้ำอัดลม หากหมายเลขตรงกับหมายเลขที่ประกาศ ผู้โชคดีจะได้รับเงินรางวัลสูงสุดถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.2 ล้านบาทในขณะนั้น) ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้เพียง 4 ดอลลาร์ต่อวัน เมื่อแคมเปญเริ่มต้นคนทั้งประเทศต่างพากันซื้อ Pepsi เป็นจำนวนมาก บางคนซื้อเป็นลัง บางคนค้นหาฝาจากกองขยะ ทุกคนหวังว่าจะมีโอกาสได้รับรางวัลที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาได้
ความผิดพลาดที่เปลี่ยนความหวังเป็นโศกนาฏกรรม
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามแผน จนกระทั่งวันที่ 25 พฤษภาคม 1992 Pepsi ประกาศหมายเลขผู้โชคดี “349” ปัญหาคือ มีฝาขวดที่มีหมายเลข “349” มากถึง 800,000 ฝา ทั้งหมดนี้เป็นฝาที่ถูกพิมพ์ออกมาโดยความผิดพลาดทางคอมพิวเตอร์ ตามแผนของ Pepsi ควรจะมีเพียง 2 คนที่ถูกรางวัลในแต่ละวัน แต่ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้มีผู้ถูกรางวัลมากกว่าที่คาดการณ์ไว้หลายแสนคน โดยแต่ละคนเชื่อว่าตนเองมีสิทธิ์ได้รับรางวัล 40,000 ดอลลาร์ หากรวมกันแล้ว Pepsi จะต้องมีการจ่ายเงินถึง 32,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่ารายได้รวมของบริษัท Pepsi ในขณะนั้นเสียอีก
เมื่อ Pepsi ประกาศว่าการพิมพ์ผิดพลาดเป็น “Computer error” และปฏิเสธการจ่ายเงินรางวัล ผู้คนรู้สึกเหมือนถูกหลอกลวง ความหวังที่เคยมีพังทลายลงในพริบตา การประท้วงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการเดินขบวนกลายเป็นการจลาจล รถส่งสินค้าของ Pepsi ถูกเผา คลังสินค้าโดนวางระเบิด ความโกรธแค้นของประชาชนขยายวงกว้างจนถึงจุดที่รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซง กลุ่มก่อการร้ายและฝ่ายทหารบางกลุ่มใช้โอกาสนี้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดม ส่งผลให้สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรง แม้ Pepsi พยายามแก้ไขสถานการณ์โดยเสนอเงินชดเชยเพียง 20 ดอลลาร์ต่อฝา แต่นั่นกลับทำให้ประชาชนโกรธแค้นยิ่งขึ้น การจลาจลยังคงดำเนินต่อไป มีคดีฟ้องร้องมากกว่า 700 คดี และคำร้องเรียนทางอาญากว่า 5,200 คดี
ท้ายที่สุด ศาลฟิลิปปินส์ตัดสินว่าฝาเหล่านั้นเป็น “ข้อผิดพลาดในการพิมพ์” และไม่ถือเป็นรางวัลที่ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่า Pepsi จะรอดพ้นจากภาระการจ่ายเงินรางวัลจำนวนมหาศาล แต่ชื่อเสียงของบริษัทกลับถูกทำลายลงอย่างยับเยินในฟิลิปปินส์บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดในการตลาด แต่มันแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ “ความหวัง” ต่อมนุษย์ หากคุณให้ความหวังแก่ใครสักคนโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก พวกเขาจะเกาะเกี่ยวกับความหวังนั้นอย่างแน่นแฟ้น และหากความหวังนั้นถูกทำลายลง มันสามารถแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธที่รุนแรงจนควบคุมไม่ได้
เราก็เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ในประเทศไทยบ้างแล้วครับ เมื่อผมมองย้อนกลับไป ก็ลองนึกดูว่าจะมีตัวอย่างเหตุการณ์ที่คล้ายกัน กรณี Pepsi Number Fever ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งสุดท้ายที่แคมเปญการตลาดผิดพลาดจนส่งผลกระทบรุนแรง ในประเทศไทยเองก็เคยมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโปรโมชั่นที่ล้มเหลว เช่น แคมเปญแจกทองของห้างดัง – มีการประกาศโปรโมชั่นให้ลูกค้าซื้อสินค้าครบจำนวนที่กำหนดแล้วจะได้จับฉลากลุ้นรางวัลเป็นทองคำ แต่เกิดความผิดพลาดทางการสื่อสารทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิด ส่งผลให้มีลูกค้าหลายพันคนแห่ไปยังห้างสรรพสินค้าจนเกิดความโกลาหลและทำให้ห้างต้องยุติแคมเปญกลางคัน
และอีกเรื่องในสหรัฐอเมริกา McDonald’s Monopoly Scam (สหรัฐอเมริกา) – ในช่วงปี 2000 มีการเปิดโปงว่าระบบเกม Monopoly ที่ McDonald’s ใช้เป็นโปรโมชั่นถูกโกงโดยผู้บริหารบริษัทโฆษณาที่ควบคุมเกม ส่งผลให้มีคนภายในได้รับรางวัลใหญ่แทนที่จะเป็นลูกค้าทั่วไป เมื่อความจริงถูกเปิดเผย McDonald’s ต้องรับมือกับวิกฤตศรัทธาครั้งใหญ่ที่ตามมา