9 จำนวนผู้เข้าชม |
การใช้ข้อมูลจาก GPS เพื่อพัฒนาแผนประกันภัยเฉพาะบุคคล (Usage-Based Insurance)
วงการประกันภัยรถยนต์กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากระบบเดิมที่คิดเบี้ยตามประเภทของรถ อายุผู้ขับ และประวัติการเกิดเหตุ — สู่ยุคของ Usage-Based Insurance (UBI) หรือ ประกันภัยที่คิดเบี้ยตามการใช้งานจริง
หัวใจสำคัญของระบบนี้คือ “ข้อมูลจาก GPS” ที่สามารถสะท้อนพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้รถแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ
1. Usage-Based Insurance คืออะไร?
Usage-Based Insurance (UBI) คือรูปแบบประกันภัยที่คำนวณเบี้ยตาม พฤติกรรมการขับขี่จริง ไม่ใช่ตามสถิติทั่วไป เช่น อายุหรือเพศของผู้ขับ แต่ใช้ข้อมูลจริงจากระบบ GPS เพื่อวิเคราะห์ระดับความเสี่ยงรายบุคคล
ตัวอย่างเช่น
ขับช้า ขับระมัดระวัง → จ่ายเบี้ยถูกลง
ขับเร็ว เบรกแรงบ่อย → เบี้ยสูงขึ้นเล็กน้อย
2. GPS เก็บข้อมูลอะไรได้บ้าง?
ระบบ GPS สมัยใหม่สามารถเก็บข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยงได้ เช่น
ความเร็วเฉลี่ยในการขับขี่
พฤติกรรมการเร่งและเบรก
ระยะทางที่ขับในแต่ละวัน
ช่วงเวลาเดินทาง (กลางวันหรือกลางคืน)
พื้นที่ที่ใช้งานบ่อย (เมือง / ต่างจังหวัด / พื้นที่เสี่ยง)
3. บริษัทประกันใช้ข้อมูลเหล่านี้อย่างไร?
บริษัทประกันสามารถนำข้อมูลจาก GPS มาประมวลผลร่วมกับระบบ AI เพื่อสร้าง โปรไฟล์ความเสี่ยงของผู้ขับแต่ละคน ทำให้สามารถเสนอแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับพฤติกรรมจริง — ยุติธรรมทั้งต่อบริษัทและลูกค้า
4. ประโยชน์ต่อผู้ขับขี่
จ่ายเบี้ยเท่าที่ใช้จริง ขับดี = จ่ายน้อย
ส่งเสริมความปลอดภัย เพราะรู้ว่าข้อมูลการขับขี่ถูกบันทึก
มีข้อมูลช่วยในการเคลม หากเกิดอุบัติเหตุ GPS จะช่วยยืนยันเวลาและเหตุการณ์จริง
5. ประโยชน์ต่อบริษัทประกันและผู้ให้บริการ GPS
บริษัทประกันได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่าเดิม
ลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกงการเคลม
ผู้ให้บริการ GPS สามารถขยายบริการร่วมกับบริษัทประกัน เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า
สรุป
GPS ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือติดตามตำแหน่งรถอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ข้อมูลทองคำ” ที่ใช้สร้างระบบประกันภัยยุคใหม่
Usage-Based Insurance คืออนาคตของประกันภัยที่ยุติธรรม ปลอดภัย และโปร่งใส — ทั้งต่อผู้ขับขี่และบริษัทประกัน
สนใจติดตั้ง GPS ที่รองรับการเชื่อมต่อข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่
โทร. 080-295-6052 (พี่บอย)
โทร. 080-295-1830 (พี่ปูเป้)
LINE: @gpsthaicar
เว็บไซต์: www.gpsthaicar.co.th